ความสัมพันธ์ในประเด็นต่าง ๆ ของ ลักษณะบุคลิกภาพใหญ่ทั้งห้า

ความผิดปกติทางบุคลิกภาพ

ดูบทความหลักที่: ความผิดปกติทางบุคลิกภาพ

โดยปี 2002 มีงานศึกษาเกินกว่า 50 งานเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของทฤษฎีนี้กับความผิดปกติทางบุคลิกภาพ (personality disorder ตัวย่อ PD)[116]และตั้งแต่นั้นมา ก็มีงานวิจัยต่อ ๆ มาที่ขยายประเด็นนี้ แล้วให้หลักฐานเชิงประสบการณ์เพื่อจะเข้าใจความผิดปกติทางบุคคลลิกภาพโดยใช้แบบจำลองนี้[117]

ในงานปริทัศน์ปี 2007 ที่ทบทวนวรรณกรรมเกี่ยวกับความผิดปกติทางบุคลิกภาพ นักจิตวิทยาผู้หนึ่งอ้างว่า "แบบจำลองบุคลิกภาพมีปัจจัย 5 อย่างยอมรับกันอย่างกว้างขวางว่า แสดงโครงสร้างระดับสูงของลักษณะบุคลิกภาพทั้งที่ปกติและผิดปกติ"[118]ส่วนงานปี 2008 พบว่าแบบจำลองนี้ สามารถพยากรณ์ความผิดปกติทางบุคลิกภาพทั้ง 10 อย่างได้อย่างสำคัญ และพยากรณ์ได้ดีกว่า Minnesota Multiphasic Personality Inventory (MMPI) ในเรื่องความผิดปกติทางบุคลิกภาพแบบก้ำกึ่ง (borderline), แบบหลีกเลี่ยง (avoidant), และแบบพึ่งพา (dependent)[119]

ผลงานวิจัยที่ตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่าง FFM กับความผิดปกติทางบุคลิกภาพที่จัดหมวดหมู่ใน DSM มีทั่วไปอย่างกว้างขวางยกตัวอย่างเช่น ในงานวิจัยปี 2003 ชื่อว่า "แบบจำลองมีปัจจัย 5 และวรรณกรรมเชิงประสบการณ์เกี่ยวกับความผิดปกติทางบุคลิกภาพ: งานวิเคราะห์อภิมาน (The five-factor model and personality disorder empirical literature: A meta-analytic review)"[120]ผู้เขียนได้วิเคราะห์ข้อมูลจากงานวิจัยอื่น 15 งานเพื่อกำหนดว่า ความผิดปกติทางบุคลิกภาพต่างกันหรือเหมือนกันอย่างไร โดยสัมพันธ์กับลักษณะบุคลิกภาพที่เป็นมูลเกี่ยวกับความต่าง ผลงานแสดงว่า ความผิดปกติแต่ละอย่างมีโพลไฟล์ FFM โดยเฉพาะ ที่สามารถใช้อธิบายและใช้พยากรณ์ความผิดปกติได้ เพราะว่ามีรูปแบบเป็นกฎเกณฑ์ที่เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับความเหมือนกัน ความสัมพันธ์ที่เด่นที่สุดและสม่ำเสมอของความผิดปกติทางบุคลิกภาพหลายอย่างกับลักษณะบุคลิกภาพก็คือ ความสัมพันธ์เชิงบวกกับ neuroticism และความสัมพันธ์เชิงลบกับความยินยอมเห็นใจ (agreeableness)

ความผิดปกติทางจิตสามัญ

หลักฐานที่เข้ามาบรรจบกันจากงานศึกษาประเทศต่าง ๆ ได้แบ่งความผิดปกติทางจิตออกเป็น 3 หมวดหมู่ ซึ่งสามัญเป็นพิเศษในประชากรทั่วไป คือ โรคซึมเศร้า (รวมทั้ง Major Depressive Disorder [MDD] และ Dysthymic Disorder)[121]โรควิตกกังวล (รวมทั้ง Generalized Anxiety Disorder [GAD], ความผิดปกติที่เกิดหลังความเครียดที่สะเทือนใจ [PTSD], โรคตื่นตระหนก, โรคกลัวที่ชุมชน, โรคกลัวสิ่งจำเพาะเจาะจง [Specific Phobia], โรคกลัวการเข้าสังคม [Social Phobia])[121]และการใช้สารเสพติด (substance use disorder ตัวย่อ SUD)[122][123]

ความผิดปกติทางจิตสามัญ (common mental disorder, ตัวย่อ CMDs) มีหลักฐานว่าสัมพันธ์กับลักษณะบุคลิกภาพใหญ่ 5 อย่าง โดยเฉพาะกับ neuroticismมีงานวิจัยมากมายที่พบว่า การมี neuroticism ในระดับสูงเพิ่มความเสี่ยงในการพัฒนาเป็น CMD[124][125]

งานวิเคราะห์อภิมานขนาดใหญ่ (n > 75,000) ที่ตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทั้ง 5 กับ CMD พบว่าความพิถีพิถันระดับต่ำสัมพันธ์กับ CMD ที่ตรวจสอบแต่ละอย่างอย่างมีกำลัง รวมทั้ง MDD, Dysthymic Disorder, GAD, PTSD, โรคตื่นตระหนก, โรคกลัวที่ชุมชน, โรคกลัวการเข้าสังคม, โรคกลัวสิ่งจำเพาะเจาะจง, และ SUD)[126]ซึ่งเข้ากับงานวิจัยเกี่ยวกับสุขภาพทางกายที่พบว่า ความพิถีพิถันระดับต่ำเป็นลักษณะบุคลิกภาพที่มีกำลังที่สุดในการพยากรณ์การตาย และมีสหสัมพันธ์ที่มีกำลังกับพฤติกรรมทางสุขภาพที่ไม่ดี[127][128]ส่วนในเรื่องอื่น งานพบว่า CMD ที่ตรวจสอบทั้งหมดสัมพันธ์กับระดับ neuroticism และโดยมากสัมพันธ์กับความสนใจต่อสิ่งภายนอกในระดับต่ำ ส่วน SUD สัมพันธ์ในเชิงผกผันกับความยินยอมเห็นใจ แต่ไม่มีความผิดปกติใด ๆ ที่สัมพันธ์กับความเปิดรับประสบการณ์[126]

แบบจำลองบุคลิกภาพ-จิตพยาธิ

มีการเสนอแบบจำลอง 5 อย่างเพื่ออธิบายธรรมชาติของความสัมพันธ์ระหว่างบุคลิกภาพกับโรคจิตแต่ว่าก็ยังไม่มีแบบจำลองไหนที่ดีที่สุด และแต่ละแบบก็ล้วนแต่มีหลักฐานเชิงประสบการณ์รองรับให้สังเกตว่า แบบจำลองเหล่านี้ไม่ใช่อยู่แยกจากเกินโดยสิ้นเชิง อาจจะมีแบบจำลองเกินกว่าหนึ่งที่ใช้อธิบายบุคคลหนึ่ง ๆ และความผิดปกติทางจิตแต่ละชนิดอาจจะอธิบายได้โดยแบบจำลองที่ไม่เหมือนกัน[129]

  • แบบจำลองโดยเป็นจุดอ่อน/ความเสี่ยง (Vulnerability/Risk Model) ในแบบจำลองนี้ บุคลิกภาพมีอิทธิพลต่อสมุฏฐานเริ่มต้นของ CMD หลายอย่าง กล่าวอีกอย่างก็คือ ลักษณะบุคลิกภาพที่มีอยู่แล้วเป็นเหตุโดยตรงของพัฒนาการของ CMD หรือเพิ่มผลกระทบของปัจจัยเสี่ยงที่เป็นเหตุ[126][130][131][132]
  • แบบจำลองโดยเปลี่ยนโรค (Pathoplasty Model) เสนอว่า ลักษณะบุคลิกภาพก่อนป่วยมีผลต่อการแสดงออก การดำเนิน ความรุนแรง และ/หรือการตอบสนองต่อการรักษา ของความผิดปกติทางจิต[126][131][133] ตัวอย่างของความสัมพันธ์เช่นนี้ก็เช่น โอกาสเสี่ยงสูงขึ้นที่จะฆ่าตัวตายสำหรับบุคคลเศร้าซึมที่ยับยั้งชั่งใจได้ต่ำ[131]
  • แบบจำลองโดยมีเหตุสามัญ (Common Cause Model) ในแบบจำลองนี้ ลักษณะบุคลิกภาพสามารถพยากรณ์ CMD ได้เพราะว่า บุคลิกภาพและจิตพยาธิแชร์เหตุทางพันธุกรรมและทางสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีผลทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ไม่ใช่เหตุผลระหว่างสิ่งสองสิ่งนี้[126][130]
  • Spectrum Model เสนอว่า ความสัมพันธ์ระหว่างบุคลิกภาพและจิตพยาธิมี ก็เพราะว่า สิ่งสองอย่างนี้เป็นเรื่องเดียวกันหรืออยู่ในสเปกตรัมเดียวกัน และดังนั้น จิตพยาธิจึงเป็นเพียงแค่การแสดงออกของบุคลิกภาพที่สุด ๆ[126][130][131][132] หลักฐานสนับสนุนแบบจำลองนี้เป็นประเด็นเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ที่ซ้อนเหลื่อมกัน ยกตัวอย่างเช่น facet หลักของ neuroticism ในการวัดแบบ NEO-PI-R ก็คือ ความเศร้าซึม (depression) และความวิตกกังวล (anxiety) และดังนั้น การที่กฎเกณฑ์วินิจฉัยของความเศร้าซึม ความวิตกกังวล และ neuroticism ประเมินสิ่งเดียวกัน ก็จะเพิ่มค่าสหสัมพันธ์ของเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้[132]
  • แบบจำลองโดยเป็นแผลเป็น (Scar Model) เสนอว่า คราวแสดงออก (episode) ของความผิดปกติทางจิตจะสร้าง "แผลเป็น" ต่อบุคลิกภาพของบุคคล เปลี่ยนการทำงานของมันอย่างสำคัญจากสภาพก่อนป่วย[126][130][131][132] ตัวอย่างหนึ่งของปรากฏการณ์แผลเป็นก็คือการลดระดับความเปิดรับประสบการณ์ หลังจากคราวแสดงออกของ PTSD[131]

การศึกษา

ความสำเร็จทางการเรียน

บุคลิกภาพมีบทบาทสำคัญต่อความสำเร็จทางการศึกษางานศึกษาปี 2011 ในนักศึกษาปริญญาตรี 308 คนที่ได้ทำข้อทดสอบ Five Factor Inventory กับ Inventory of Learning Processes และแจ้ง GPA ของตนแสดงนัยว่า ความพิถีพิถันและความยินยอมเห็นใจ สัมพันธ์กับสไตล์การเรียน 4 อย่างทุกอย่างที่จะกล่าวถึงต่อไปและ neuroticism สัมพันธ์ในเชิงผกผันกับสไตล์การเรียนทุกอย่างส่วนความสนใจต่อสิ่งภายนอกบวกความเปิดรับประสบการณ์ สัมพันธ์กับสไตล์การเรียนบางอย่าง (คือ elaborative processing)ลักษณะบุคลิกภาพใหญ่ 5 อย่าง สามารถอธิบายความแปรปรวน (variance) 14% ของ GPA ซึ่งแสดงนัยว่า ลักษณะบุคลิกภาพมีผลต่อความสำเร็จทางการศึกษานอกจากนั้นแล้ว สไตล์การเรียนแบบไตร่ตรอง (คือ synthesis analysis และ elaborative processing ที่จะกล่าวต่อไป) สามารถสื่อความสัมพันธ์ระหว่างความเปิดรับประสบการณ์กับ GPAซึ่งแสดงว่า ความอยากรู้อยากเห็นเชิงปัญญาจะเพิ่มความสำเร็จในการศึกษา ถ้านักเรียนนักศึกษาสามารถประยุกต์ใช้การประมวลข้อมูลที่ดีในประเด็นการศึกษา[134]

งานวิจัยปี 2012 กับนักศึกษามหาวิทยาลัยสรุปว่า ความหวังซึ่งเชื่อมกับความยินยอมเห็นใจ มีผลบวกต่อสุขภาพจิตบุคคลที่มีสภาพ neuroticism สูงมักจะแสดงความหวังที่น้อยกว่า ซึ่งมีผลลบทางสุขภาพจิต[135]บุคลิกภาพอาจจะยืดหยุ่นได้ในบางคราว และการวัดลักษณะบุคลิกภาพใหญ่ 5 อย่างเมื่อเข้าสู่ระยะบางอย่างในชีวิต อาจจะสามารถพยากรณ์เอกลักษณ์ของบุคคลนั้นเกี่ยวกับการศึกษา (educational identity) ได้งานวิจัยปี 2012 อีกงานหนึ่งแสดงโอกาสว่า บุคลิกภาพมีผลต่อเอกลักษณ์ทางการศึกษา[136]

สไตล์การศึกษา

สไตล์การเรียนรู้ได้คำพรรณนาว่าเป็น "วิธีการที่อยู่ได้นานเกี่ยวกับการคิดและการประมวลข้อมูล"[134]แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานว่าบุคลิกภาพเป็นตัวกำหนดสไตล์การคิด แต่ว่าสไตล์การคิดก็อาจจะสัมพันธ์กับลักษณะบุคลิกภาพใหญ่ 5 อย่าง[137]แม้ว่าจะไม่มีมติส่วนใหญ่เกี่ยวกับสไตล์การเรียนรู้ แต่ก็มีข้อเสนอหลายอย่างงานวิจัยปี 1997 (Smeck, Ribicj, and Ramanaih) กำหนดสไตล์การเรียนรู้เป็น 4 อย่าง คือ

  • synthesis analysis (การวิเคราะห์โดยสังเคราะห์)
  • methodical study (การเรียนเป็นระบบ)
  • fact retention (การจำ)
  • elaborative processing (การประมวลแบบขยายเพิ่ม)

เมื่อใช้ทั้ง 4 สไตล์ในการเรียน แต่ละอย่างก็น่าจะทำให้เรียนได้เก่งขึ้น[134]แบบจำลองนี้ยืนยันว่า นักเรียนนักศึกษาจะพัฒนาสไตล์การเรียนเป็นแบบประมวลข้อมูลอย่างตื้น ๆ (agentic/shallow processing) โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้สอบได้ดี หรือเป็นแบบประมวลข้อมูลอย่างลึกซึ้ง (reflective/deep processing)ผู้ที่ประมวลข้อมูลอย่างลึก บ่อยครั้งพิถีพิถัน เปิดรับความคิด และสนใจสิ่งภายนอกมากกว่า เปรียบเทียบกับผู้ประมวลข้อมูลอย่างตื้น ๆการประมวลข้อมูลอย่างลึก สัมพันธ์กับวิธีการเรียนที่เหมาะสม (คือเป็นการเรียนอย่างเป็นระบบ) และความสามารถที่ดีกว่าในการวิเคราะห์ข้อมูล (การวิเคราะห์โดยสังเคราะห์และแบบขยายเพิ่ม) เทียบกับผู้ประมวลข้อมูลอย่างตื้น[134]หน้าที่หลักของสไตล์การเรียน 4 อย่างนี้ เป็นดังต่อไปนี้

ชื่อ หน้าที่
Synthesis analysis: ประมวล สร้างหมวดหมู่ และจัดระเบียบข้อมูลเป็นลำดับชั้น นี่เป็นสไตล์การเรียนรู้อย่างเดียวที่แสดงผลที่สำคัญต่อความสำเร็จทางการศึกษา[134]
Methodical study: พฤติกรรมที่เป็นระบบเมื่อทำงานที่ได้รับ เช่นดูหนังสืออย่างสม่ำเสมอ ไม่ผัดผ่อนการเริ่มทำงาน
Fact retention: เพ่งความสนใจไปที่ผลลัพธ์ มากกว่าจะพยายามเข้าใจเหตุผลว่าทำไมจึงเป็นอย่างนั้น
Elaborative processing: เชื่อมและประยุกต์ใช้ไอเดียใหม่ ๆ กับความรู้ที่มีอยู่แล้ว

ตามงานวิจัยในปี 2011 ความเปิดรับประสบการณ์สัมพันธ์กับสไตล์การเรียนรู้ เช่น การวิเคราะห์โดยสังเคราะห์และการเรียนเป็นระบบ ที่บ่อยครั้งนำไปสู่ความสำเร็จทางการเรียนและการได้เกรดที่สูงกว่าและเพราะว่า ความพิถีพิถันและความเปิดรับประสบการณ์ เป็นตัวพยากรณ์สไตล์การเรียนทั้ง 4 นี่แสดงนัยว่า บุคคลที่มีลักษณะต่าง ๆ เช่น วินัย ความมุ่งมั่น และความอยากรู้อยากเห็น มีโอกาสสูงกว่าที่จะใช้วิธีการเรียนทั้ง 4 อย่าง[134]ความพิถีพิถันและความยินยอมเห็นใจ สัมพันธ์กับสไตล์การเรียนทั้ง 4 อย่าง เทียบกับ neuroticism ที่สัมพันธ์ในเชิงผกผันกับสไตล์ทั้ง 4นอกจากนั้นแล้ว ความสนใจต่อสิ่งภายนอกและความเปิดรับประสบการณ์ สัมพันธ์กับการประมวลแบบขยายเพิ่มเท่านั้น และ ความเปิดรับประสบการณ์โดยลำพังมีสหสัมพันธ์กับความสำเร็จการศึกษาที่ดี[134]

นอกจากความเปิดรับประสบการณ์ ลักษณะบุคลิกภาพใหญ่ทั้ง 5 อย่าง ล้วนแต่ช่วยพยากรณ์เอกลักษณ์ทางการศึกษาของนักเรียนนักศึกษาได้ผลงานต่าง ๆ เหล่านี้ ทำให้นักวิทยาศาสตร์เริ่มจะเห็นว่า ลักษณะบุคลิกภาพใหญ่ทั้ง 5 อย่างอาจมีผลต่อแรงจูงใจในการศึกษา ซึ่งก็จะทำให้สามารถพยากรณ์ความสำเร็จทางการศึกษาของนักเรียนนักศึกษาได้[138]

งานวิจัยปี 2012 แสดงนัยว่า ลักษณะบุคลิกภาพใหญ่ 5 อย่างประกอบกับสไตล์การเรียน สามารถช่วยให้พยากรณ์ความต่าง ๆ กันของความสำเร็จทางการศึกษา และแรงจูงใจทางการศึกษาของบุคคล ซึ่งก็จะมีผลต่อความสำเร็จทางการศึกษา[139]นี่อาจจะเป็นเพราะว่าความแตกต่างทางบุคลิกภาพของแต่ละบุคคล แสดงวิธีการประมวลข้อมูลที่เสถียรยกตัวอย่างเช่น ความพิถีพิถันปรากฏอย่างสม่ำเสมอโดยเป็นตัวพยากรณ์ของคะแนนที่ได้ในการสอบ โดยมากเพราะว่านักเรียนนักศึกษาที่พิถีพิถัน จะผัดผ่อนการดูหนังสือน้อยกว่า[138]เหตุผลที่ความพิถีพิถันสัมพันธ์กับสไตล์การศึกษาทั้ง 4 ก็เพราะว่า นักศึกษาที่พิถีพิถันจะพัฒนากลยุทธ์การเรียนที่มุ่งมั่น และดูเหมือนจะมีวินัยและความตั้งมั่นเพื่อความสำเร็จมากกว่า

แต่ว่า ในปี 2008 สมาคมจิตวิทยาอเมริกัน (American Psychological Society) ได้ว่าจ้างให้ทำรายงานที่แสดงผลว่า ไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะสรุปว่า การประเมินสไตล์การศึกษาควรจะใช้ในระบบการศึกษาสมาคมยังเสนออีกด้วยว่า ยังไม่ได้ค้นพบสไตล์การศึกษาทั้งหมด และอาจจะมีสไตล์อื่นที่มีคุณค่าเพื่อใช้ในระบบการศึกษา[140]ดังนั้น อาจจะเร็วเกินไปที่จะสรุปว่า หลักฐานที่เชื่อมลักษณะบุคลิกภาพใหญ่ 5 อย่างกับ "สไตล์การเรียนรู้" ว่าเป็นเรื่องสมเหตุสมผลจริง ๆ

ความสำเร็จในการงาน

มีข้อถกเถียงกันว่า ลักษณะบุคลิกภาพใหญ่ 5 อย่างมีสหสัมพันธ์กับความสำเร็จในการงานหรือไม่

เชื่อกันว่า ลักษณะบุคลิกภาพใหญ่ 5 อย่างเป็นตัวยพยากรณ์การประสบความสำเร็จที่จะมีในอนาคตความสำเร็จทางการงานรวมความชำนาญในการงาน (job proficiency) ประสิทธิภาพในการฝึกงาน (training proficiency) และข้อมูลบุคลากรอื่น ๆ[141]แต่ว่า งานวิจัยที่แสดงความสามารถในการพยากรณ์เช่นนี้ได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ ส่วนหนึ่งก็เพราะค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (correlation coefficient) ที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างบุคลิกภาพและความสำเร็จในการงาน อยู่ในระดับต่ำบทความปี 2007[142]ซึ่งมีผู้ร่วมเขียนเป็นบรรณาธิการของวารสารจิตวิทยาทั้งในอดีตหรือในปัจจุบัน 6 ท่าน กล่าวว่า

ปัญหาเกี่ยวกับการทดสอบบุคลิกภาพก็คือ ความสมเหตุสมผลของค่าวัดบุคลิกภาพต่าง ๆ โดยเป็นตัวพยากรณ์ความสำเร็จในงาน บ่อยครั้งต่ำอย่างน่าผิดหวัง ผมรู้สึกว่า การใช้การทดสอบบุคลิกภาพเพื่อจะพยากรณ์ความสำเร็จ ไม่น่าเชื่อถือตั้งแต่ต้น

นักจิตวิทยาทรงอิทธิพลคนหนึ่งได้วิพากษ์วิจารณ์ในทำนองนี้ในปี 1968[143]ซึ่งบทความนั้น ได้ทำให้เกิดวิกฤตกาลเป็นระยะเวลา 2 ทศวรรษในการวัดบุคลิกภาพทางจิตวิทยาแต่ว่า งานต่อ ๆ มาแสดงว่า (1) ค่าสหสมพันธ์ที่นักวิจัยบุคลิกภาพได้ ความจริงอยู่ในระดับที่ดีใช้ได้เมื่อเทียบกับมาตรฐานอื่น ๆ[144]และ (2) ความแม่นยำในการพยากรณ์ที่เพิ่มขึ้นแม้เล็กน้อย ก็ยังมีคุณค่าทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล เพราะความสำเร็จที่แตกต่างกันมากของบุคคลที่อยู่ในหน้าที่การงานระดับสูง[145]

มีงานศึกษาที่เชื่อมความช่างคิดช่างประดิษฐ์ของประเทศต่าง ๆ กับความเปิดรับประสบการณ์และความพิถีพิถันคือบุคคลที่มีลักษณะบุคลิกภาพเหล่านี้ได้แสดงความเป็นผู้นำและเสนอความคิดใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศที่ตนอยู่[146]

ในประเทศสหรัฐอเมริกา มีธุรกิจ องค์การ และผู้สัมภาษณ์ที่ประเมินบุคคลโดยอาศัยลักษณะบุคลิกภาพใหญ่ 5 อย่างงานวิจัยแสดงนัยว่า บุคคลที่คนอื่นเห็นว่าเป็นผู้นำ จะแสดงระดับ neuroticism ที่ต่ำกว่า ธำรงระดับความเปิดรับประสบการณ์ (คือสามารถมองเห็นโอกาสความสำเร็จ) ที่สูงกว่า มีระดับความพิถีพิถันในระดับที่สมดุล (คือเป็นคนจัดระเบียบได้ดี) และมีระดับความสนใจต่อสิ่งภายนอกในระดับที่สมดุล (คือเป็นคนสังคมแต่ไม่มากเกินไป)[147]งานวิจัยต่อ ๆ มาแสดงความสัมพันธ์ระหว่างความหมดไฟในการทำงานกับระดับ neuroticism และระดับความสนใจต่อสิ่งภายนอกกับความรู้สึกบวกเกี่ยวกับงานที่ยั่งยืน[148]ในเรื่องเกี่ยวกับการหาเงิน งานวิจัยแสดงนัยว่า บุคคลที่ยินยอมเห็นใจผู้อื่นมาก (โดยเฉพาะผู้ชาย) ไม่ประสบความสำเร็จในการหาเงินเท่ากับผู้อื่น[149]

แหล่งที่มา

WikiPedia: ลักษณะบุคลิกภาพใหญ่ทั้งห้า http://50.22.92.12/index.php/ibm/article/view/j.ib... http://individual.utoronto.ca/jacobhirsh/publicati... http://find.galegroup.com/gic/infomark.do? http://ic.galegroup.com/ic/suic/NewsDetailsPage/Ne... http://www.personality-and-aptitude-career-tests.c... http://asm.sagepub.com/cgi/content/abstract/9/2/18... http://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S... http://www.subjectpool.com/ed_teach/y4person/1_int... http://www.workingresources.com/nss-folder/pdffold... http://apsychoserver.psych.arizona.edu/jjbareprint...